ด้วยสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ท้าทายในปี 2561 ผลการดำเนินงานของ CENTEL เป็นอย่างไรบ้าง?
กลุ่มบริษัทฯ ของเราประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก คือโรงแรมและอาหาร ในส่วนของธุรกิจโรงแรม เราเป็นเจ้าของเองทั้งหมด 17 โรงแรมและบริหาร 22 โรงแรม รวมทั้งสิ้นเป็น 39 โรงแรม ส่วนธุรกิจอาหาร เรามีทั้งหมด 11 แบรนด์ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น 5 แบรนด์ รวมทั้งสิ้น 956 ร้าน ณ สิ้นปี 2561 และเราวางแผนจะเพิ่มเป็น 1,000 ร้านในปี 2562 ในช่วงที่มีความท้าทาย อาทิ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในมัลดีฟในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 กิจการโรงแรมในมัลดีฟก็ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม โรงแรมในประเทศไทยก็ยังคงมีผลประกอบการที่ดี ซึ่งได้เข้ามาชดเชยในส่วนที่หายไปจนถึงช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2561 ในช่วงที่มีอุบัติเหตุที่ภูเก็ต จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงพฤศจิกายน 2561 ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมีนัยยะ รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จนกระทั่งรัฐบาลไทยได้ประกาศยกเว้นวีซ่า ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) การท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวกลับมาหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนด้วยธรรมชาติของนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย ดังนั้น ครึ่งหลังของปี 2561 ก็เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายมาก และในระดับนานาชาติก็ยังมีประเด็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ส่งผลกระทบถึงการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่ถึงอย่างนั้น ทีมงานการตลาดของเราก็ทำงานเชิงรุกตลอดเวลา
เราจึงเบนความสนใจมาที่ตลาดอินเดีย ออสเตรเลีย อาเซียน ญี่ปุ่น ไต้หวันและฮ่องกง เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้มาใช้บริการโรงแรมของเรา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผลประกอบการจึงไม่ตกเหมือนที่ธุรกิจอื่นประสบ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงแรมยังทำสถิติผลกำไรและรายได้สูงที่สุด ปีที่แล้วอัตราการเข้าพักของกลุ่มธุรกิจโรงแรม ยกเว้นโรงแรมใหม่ 2 แห่ง รักษาระดับอยู่ที่ 83% เท่ากับปี 2560 และอัตราส่วน REVPAR ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า จุดที่ทำให้เราประสบความสำเร็จคือธุรกิจ MICE ที่ทำผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ให้กับโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล เวิร์ลด์ตั้งแต่เปิดดำเนินการในปี 2550
เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหารก็ประสบกับความไม่แน่นอนในปี 2561 อันเป็นผลมาจากความวุ่นวายในช่วงเลือกตั้งและการยุติของสิทธิประโยชน์ทางภาษีในช่วงสิ้นปีซึ่งเราได้รับมาในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้การเติบโตของยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% แต่ก็ยังนับว่าเติบโตขึ้นจากปี 2560 ที่ลดลง 0.9% ในธุรกิจอาหารเอง เรามีการพัฒนาที่น่าสนใจ อาทิ KFC ที่ทีมการตลาดทีมใหม่ได้สร้างสรรค์เมนูใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เพื่อดึงดูดลูกค้าเพิ่ม และจากเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา การเติบโตของยอดขายสาขาเดิมก็เป็นบวกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ Mister Donut ในเรื่องไขมันทรานส์ และถึงแม้ว่าเราได้ประกาศว่าอาหารของเราไม่มีไขมันทรานส์ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 ข่าวสารที่ออกมาและการแข่งขันก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการลดลง แต่เมื่อพิจารณาธุรกิจอาหารในภาพรวม อัตราการเติบโตรวมยังสูงกว่าธุรกิจโรงแรม โดยรายได้เติบโตขึ้น 9.2% และกำไรเพิ่มขึ้น 5.7%
จากที่ CENTEL ได้ขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารมีการบริหารจัดการโรงแรมและธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มอย่างไรเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล?
การพัฒนาธุรกิจของ CENTEL ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว แต่เป็นกระบวนการที่ใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษ จากโรงแรมแห่งแรกที่ลาดพร้าว เราก็มีเชนโรงแรมระดับโลกเข้ามาบริหาร ซึ่งได้สร้างความเข้าใจและการเรียนรู้ให้เราในเรื่องความต้องการและกระบวนการบริหารธุรกิจโรงแรม และตอนที่เรานำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราก็สามารถนำเงินทุนมาต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งต้องชื่นชมประธานของเรา คุณสุทธิเกียรติ ที่ได้ดึงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมา ผสมผสานกับวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน และวัฒนธรรมใจรักบริการกับวัฒนธรรมที่เน้นการทำงานเชิงระบบ นอกจากนั้น เราได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) ซึ่งได้ช่วยสนับสนุนเงินทุนสำหรับ 2 โครงการในประเทศไทยและยังถือหุ้น CENTEL 10% อีกด้วย ดังนั้น ด้วย 2 กลไกในการบริหารจัดการและเงินลงทุน เราจึงสามารถขยายธุรกิจมาถึงวันนี้ ที่มี 17 โรงแรมและมูลค่าทรัพย์สิน 20,000 ล้านบาท และทำสถิติผลกำไรกว่า 2,000 ล้านบาทในปี 2561
ในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิผล เราจำเป็นต้องตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างผลกระทบนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นตลอดเวลากับทั้งสองธุรกิจ และฝ่ายบริหารจะต้องมีความยืดหยุ่นและเชื่อมั่นในความสามารถของทีมงานในการดำเนินงานต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตโรค SARS หรือวิกฤตการณ์การเมือง อัตราการเข้าพักลดลงเหลือเพียง 30% หรือกระทั่ง 10% ในบางวันมีเพียง 10 ห้องเท่านั้น และในการกระจายความเสี่ยง เรามุ่งไปสู่การทำสัญญาบริหารซึ่งตอนนี้เรามี 22 โรงแรมภายใต้สัญญา และภายในปี 2565 เราตั้งเป้าหมายเพิ่มอีก 24 โรงแรม อีกตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญก็คือเทคโนโลยี เราได้เปิดแผนกการตลาดดิจิทัลขึ้นมาใหม่ โดยจะให้ความสำคัญกับเรื่องธุรกิจออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งมีการเติบโตของรายได้จาก 0% เป็น 9% สำหรับธุรกิจโรงแรม และเราได้ตั้งเป้าหมายความสำเร็จเอาไว้ว่าจะเพิ่มการเติบโตเป็นเลขสองหลักจากการขายผ่านเว็บไซท์ สุดท้าย เราได้เปิดตัวโปรแกรมการสร้างความภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์ เรียกว่า C1 ซึ่งร่วมกับบัตร Central Card T1 ที่มีสมาชิกกว่า 10 ล้านคน และสามารถใช้คะแนนร่วมระหว่างการใช้บริการโรงแรมและห้างสรรพสินค้าได้
จากที่ได้ให้แนวทางว่าค่าใช้จ่ายการลงทุนระหว่างปี 2562-2564 จะเป็น 4 เท่าของปี 2561 บริษัทฯ มีแผนการอย่างไรและที่มาของการขยายอย่างรวดเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้านี้คืออะไร?
ที่ผ่านมาเราได้เปิดตัวโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล เวิร์ลด์ เซ็นทารา มิราจ พัทยา และเซ็นทารา ภูเก็ต บีช รีสอร์ท ทั้ง 3 โรงแรมนี้มีต้นทุนอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท และเราไม่ได้เพิ่มทุนแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ได้มีการปรับลดส่วนของผู้ถือหุ้น และเรายังเห็นถึงความสำเร็จของทุกโครงการรวมกัน สะท้อนจากงบดุลที่ปลอดหนี้ นำไปสู่โอกาสในการขยายธุรกิจต่อไป ปรัชญาของเราค่อนข้างไม่ทำอะไรแบบเกินตัว และไม่หวือหวาแบบคู่แข่ง แต่เมื่อใดที่เราตัดสินใจทำโครงการ โอกาสประสบความสำเร็จจะมีสูง
ตอนนี้เราวางแผนจะลงทุนในมูลค่า 26,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยจะมีการปรับปรุงและปรับโฉมโรงแรมต่างๆ และปรับโฉม 3 โรงแรมโดยเฉพาะโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล เวิร์ลด์ เซ็นทารา แกรนด์ สมุย และเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน ตลอดจนการลงทุนและขยายโรงแรมใหม่ แบรนด์ร้านอาหาร และสาขาร้านอาหาร เมื่อพิจารณาถึงธุรกิจโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผลประกอบการ 30% มาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ 50% จากต่างจังหวัด และ 20% จากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัลดีฟ เราจะยังคงเน้นที่ประเทศไทยเนื่องจากการท่องเที่ยวสามารถฟื้นตัวได้ดี แต่จะเน้นต่างจังหวัดและต่างประเทศด้วยเช่นกัน เร็วๆ นี้เราได้ร่วมมือกับ Nakheel Group โดยถือหุ้น 40% ในโรงแรม 4 ดาวที่ดูไบ และเรายังมีแผนขยายธุรกิจในมัลดีฟ ตะวันออกกลาง และอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามและญี่ปุ่น นอกจากนี้ เรามีแผนจะขยายสัญญาบริหารให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นแทนการลงทุนเองเนื่องจากต้นทุนเบากว่า เราคาดการณ์ว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า โรงแรม 68 แห่งของเราจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจาก 10,000 ล้านบาทเป็น 20,000 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจอาหาร เป้าหมายคือการขยายตัวเป็น 2 เท่าในอีก 4 ปีจากนี้เช่นกัน จาก 12,000 ล้านบาทเป็น 24,000 ล้านบาท ในปีนี้เราจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ‘อร่อยดี’ ร้านอาหารไทยที่มีศักยภาพเติบโตซึ่งพัฒนาโดยทีมงานที่บริการเดอะ เทอร์เรซ เราเปิดไปแล้ว 3 ร้านที่ซอยสีลม 32 ปั๊มปตท. สถานีสายไหม และไทวัสดุบางนา ซึ่งมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ อีกหนึ่งการพัฒนาที่น่าสนใจก็คือ 60% ของยอดขายสาขาสีลมมาจากการบริการจัดส่งถึงที่ ส่วนสาขาสายไหม เป็นสัดส่วน 40% ซึ่งเป็นแนวโน้มที่กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทยด้วยการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและความเจริญของเมือง ซึ่งเปิดโอกาสให้การให้บริการของร้านอาหารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หน้าร้านเท่านั้น
สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้ CENTEL จากคู่แข่งในประเทศและต่างประเทศคืออะไร?
ตอนที่เราเริ่มบริหารโรงแรมแห่งแรกที่มัลดีฟ นักลงทุนในท้องถิ่นเลือกเราเนื่องจากเราปฏิบัติต่อเขาอย่างคู่ค้าที่ให้การช่วยเหลือตลอดกระบวนการพัฒนาโครงการ จัดหาเงินทุน การประมาณการ และอื่นๆ เนื่องด้วยเราเองก็เป็นเจ้าของโรงแรม จึงเข้าใจดีในเรื่องความต้องการและสิ่งที่คู่ค้ามองหา เพราะเราเองก็ผ่านเรื่องเหล่านั้นมาในอดีต อีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความแตกต่างคือเรามาจากประเทศไทย ซึ่งวัฒนธรรมและจิตใจที่รักการบริการเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิ่งที่มีมาโดยธรรมชาติ และในความเห็นของผม ตอนนี้มีเพียงประเทศไทยและญี่ปุ่นเท่านั้นที่มีคุณภาพการให้บริการในระดับที่สูง
อะไรคือความเสี่ยงที่มีนัยยะสำคัญต่อธุรกิจของคุณและมีประเด็นอะไรที่นักลงทุนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ?
ตอนที่เราเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใหม่ๆ งานนักลงทุนสัมพันธ์ถือเป็นจุดอ่อนของเรา แต่เมื่อบริษัทฯ เติบโตขึ้น เราก็สร้างความมั่นใจว่ากลยุทธ์ ผลการดำเนินงาน และเป้าหมายระยะยาวของเราเป็นที่รับรู้และเข้าใจในหมู่ผู้ถือหุ้นปัจจุบันและในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงหลักของเราก็คือปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น ภัยธรรมชาติ ความเสี่ยงทางการเมือง และอื่นๆ
คุณมองภาพธุรกิจ CENTEL ในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไรบ้าง?
เราใช้เวลาสร้างรากฐานให้กับ CENTEL ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ส่งมอบการบริการคุณภาพสูงในแบบไทยๆ ให้กับลูกค้าทั่วโลก ในฐานะคนทำธุรกิจ เราให้ความสำคัญกับเป้าหมายระยะยาวและสร้างการเติบโตในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารเป็น 2 เท่าในอีก 4 ปีข้างหน้า
บทสัมภาษณ์ผู้บริหารชุดนี้จัดทำโดยบริษัท ShareInvestor ผู้ให้บริการด้านสื่อการเงินออนไลน์ เทคโนโลยี และเครือข่ายนักลงทุนสัมพันธ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่อีเมล์ admin.th@shareinvestor.com เว็บไซต์ : www.ShareInvestorThailand.com